ยังไม่ถึงช่วงที่เลวร้ายที่สุด

เขียนเมื่อ 27/02/2020 06:30 GMT โดย Hussein Sayed หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ตลาดของ FXTM

การเทรดหุ้นโดยซื้อเมื่อราคาตกเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้แต่ Larry Kudlow ประธานที่ปรึกษาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังให้คำแนะนำเช่นนี้แก่นักลงทุนระยะยาว หลังดัชนี Dow Jones Industrial Average Index ร่วงลง 2600 จุดหรือ 8.8% จากสถิติสูงสุด Kudlow ก็เห็นว่าตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะซื้อหุ้นราคาถูก

จริงๆ แล้ว หุ้นราคาถูกลงหากเปรียบเทียบตัวเลข เพราะราคาอาจถูกกว่าสองสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตหรือเทียบกับหุ้นต่างประเทศ ก็ยังคงแพงเกินไป

มูลค่าที่สูงกว่าจะเหมาะสมเมื่อไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่าหุ้น โดยเฉพาะในกรณีที่พันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปีให้ผลตอบแทน 1.2% และพันธบัตรรัฐบาลยุโรปให้ผลตอบแทนเป็นลบ อย่างไรก็ตาม เมื่อความกลัวภาวะเศรษฐกิจถดถอยเริ่มแสดงออกมา นักลงทุนจะไม่คำนึงถึงการวัดมูลค่าอีกต่อไปเนื่องจากพวกเขาต้องการรักษาเงินต้นของตนเองไว้

ทุกวันนี้ โคโรน่าไวรัสอาจเทียบได้กับภัยธรรมชาติระดับโลก  ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ยากที่สุด องค์กรต่างๆ ออกมาเตือนเรื่องกำไรเรียบร้อยแล้ว ค่าใช้จ่ายในการลงทุนมีแนวโน้มที่จะลดลง พนักงานหลายรายกำลังทำงานจากที่บ้านขณะที่บางคนต้องลางานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ธุรกิจจะเริ่มต้นผิดนัดชำระหนี้โดยไม่สามารถชำระค่าจ้างให้พนักงาน และความมั่นใจจะยังคงลดลงเรื่อยๆ ดังนั้น โคโรน่าไวรัสจึงไม่ได้กระทบแต่ฝั่งอุปทาน แต่ยังกระทบต่อฝั่งอุปสงค์เช่นกัน

การซื้อหุ้นเมื่อราคาลงอาจคุ้มค่าหากโลกควบคุมโคโรน่าไวรัสได้โดยเฉพาะเมื่อเรามีสภาพคล่องในตลาดมากขึ้น ปัญหาก็คือไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่จะเกิดจุดกลับตัว โดยเฉพาะการระบาดที่ดูเหมือนจะเข้าสู่ภาวะการติดต่อที่อันตรายระลอกใหม่ หลังจากที่ขณะนี้ เจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลกระบุว่าจำนวนผู้ป่วยรายวันที่ได้รับรายงานนอกประเทศจีนเกินกว่าจำนวนผู้ป่วยในประเทศต้นกำเนิดโรคเสียอีก    

โชคไม่ดีที่เรามีแนวโน้มจะเข้าสู่การแพร่ระบาดไปทั่วโลก และตลาดยังไม่รับรู้แนวโน้มนี้ แม้นโยบายการเงินและงบประมาณอาจพยายามทำหน้าที่อย่างดีที่สุด แต่ผมจะไม่แปลกใจหากได้เห็นธนาคารกลางพิมพ์เงินออกมาให้รัฐบาลหรือแจกให้ประชาชนโดยตรงที่ฮ่องกง มาเก๊า หรือสิงคโปร์ แต่ผลจากการพิมพ์เงินดังกล่าวอาจไม่เพียงพอที่จะฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ฟิวเจอร์สหุ้นสหรัฐฯ กำลังบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่หุ้นจะเข้าสู่ภาวะปรับฐานเมื่อตลาดเปิดในช่วงหลังของวันนี้ โดยเป็นการปรับตัวลดลงอย่างน้อย 10% จากจุดสูงสุดครั้งล่าสุด แต่เมื่อพิจารณาถึงจุดที่เรากำลังอยู่ในขณะนี้ ก็มีแนวโน้มสูงที่จะเกิดภาวะตลาดหมีหรือการปรับตัวลดลง 20% จากจุดสูงสุดที่เกิดขึ้นในเดือนนี้

การเทรดหุ้นโดยซื้อเมื่อราคาตกเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้แต่ Larry Kudlow ประธานที่ปรึกษาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังให้คำแนะนำเช่นนี้แก่นักลงทุนระยะยาว หลังดัชนี Dow Jones Industrial Average Index ร่วงลง 2600 จุดหรือ 8.8% จากสถิติสูงสุด Kudlow ก็เห็นว่าตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะซื้อหุ้นราคาถูก

จริงๆ แล้ว หุ้นราคาถูกลงหากเปรียบเทียบตัวเลข เพราะราคาอาจถูกกว่าสองสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตหรือเทียบกับหุ้นต่างประเทศ ก็ยังคงแพงเกินไป

มูลค่าที่สูงกว่าจะเหมาะสมเมื่อไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่าหุ้น โดยเฉพาะในกรณีที่พันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปีให้ผลตอบแทน 1.2% และพันธบัตรรัฐบาลยุโรปให้ผลตอบแทนเป็นลบ อย่างไรก็ตาม เมื่อความกลัวภาวะเศรษฐกิจถดถอยเริ่มแสดงออกมา นักลงทุนจะไม่คำนึงถึงการวัดมูลค่าอีกต่อไปเนื่องจากพวกเขาต้องการรักษาเงินต้นของตนเองไว้

ทุกวันนี้ โคโรน่าไวรัสอาจเทียบได้กับภัยธรรมชาติระดับโลก  ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ยากที่สุด องค์กรต่างๆ ออกมาเตือนเรื่องกำไรเรียบร้อยแล้ว ค่าใช้จ่ายในการลงทุนมีแนวโน้มที่จะลดลง พนักงานหลายรายกำลังทำงานจากที่บ้านขณะที่บางคนต้องลางานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ธุรกิจจะเริ่มต้นผิดนัดชำระหนี้โดยไม่สามารถชำระค่าจ้างให้พนักงาน และความมั่นใจจะยังคงลดลงเรื่อยๆ ดังนั้น โคโรน่าไวรัสจึงไม่ได้กระทบแต่ฝั่งอุปทาน แต่ยังกระทบต่อฝั่งอุปสงค์เช่นกัน

การซื้อหุ้นเมื่อราคาลงอาจคุ้มค่าหากโลกควบคุมโคโรน่าไวรัสได้โดยเฉพาะเมื่อเรามีสภาพคล่องในตลาดมากขึ้น ปัญหาก็คือไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่จะเกิดจุดกลับตัว โดยเฉพาะการระบาดที่ดูเหมือนจะเข้าสู่ภาวะการติดต่อที่อันตรายระลอกใหม่ หลังจากที่ขณะนี้ เจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลกระบุว่าจำนวนผู้ป่วยรายวันที่ได้รับรายงานนอกประเทศจีนเกินกว่าจำนวนผู้ป่วยในประเทศต้นกำเนิดโรคเสียอีก    

โชคไม่ดีที่เรามีแนวโน้มจะเข้าสู่การแพร่ระบาดไปทั่วโลก และตลาดยังไม่รับรู้แนวโน้มนี้ แม้นโยบายการเงินและงบประมาณอาจพยายามทำหน้าที่อย่างดีที่สุด แต่ผมจะไม่แปลกใจหากได้เห็นธนาคารกลางพิมพ์เงินออกมาให้รัฐบาลหรือแจกให้ประชาชนโดยตรงที่ฮ่องกง มาเก๊า หรือสิงคโปร์ แต่ผลจากการพิมพ์เงินดังกล่าวอาจไม่เพียงพอที่จะฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ฟิวเจอร์สหุ้นสหรัฐฯ กำลังบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่หุ้นจะเข้าสู่ภาวะปรับฐานเมื่อตลาดเปิดในช่วงหลังของวันนี้ โดยเป็นการปรับตัวลดลงอย่างน้อย 10% จากจุดสูงสุดครั้งล่าสุด แต่เมื่อพิจารณาถึงจุดที่เรากำลังอยู่ในขณะนี้ ก็มีแนวโน้มสูงที่จะเกิดภาวะตลาดหมีหรือการปรับตัวลดลง 20% จากจุดสูงสุดที่เกิดขึ้นในเดือนนี้

 

 

 

ข้อความปฏิเสธความรับผิดชอบ: เนื้อหาในบทความนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นส่วนตัวและไม่ควรตีความเป็นคำแนะนำส่วนตัว และ/หรือคำแนะนำด้านการลงทุนอื่น ๆ และ/หรือข้อเสนอ และ/หรือคำชักชวนสำหรับการทำธุรกรรมใด ๆ ในตราสารทางการเงิน และ/หรือการรับประกัน และ/หรือการคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต ForexTime (FXTM) พันธมิตร ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่หรือพนักงานของบริษัทจะไม่รับประกันความเที่ยงตรง ความถูกต้อง ความทันเวลาหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลใด ๆ หรือข้อมูลที่พร้อมใช้และถือว่าไม่มีความรับผิดต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการลงทุนใด ๆ ที่อยู่บนพื้นฐานเดียวกัน